มาตรฐานและคุณสมบัติของกล้อง (หลักการพื้นฐานของกล้องทุกประเภท)
ชนิดของตัวรับภาพ (Sensor type)
-
CCD (Charge-Coupled Device) มีความไวในการรับแสงที่ดี
แต่กินไฟมากกว่า และประสิทธิภาพจะด้อยลงเมื่อความละเอียดต่อพื้นที่มีมากขึ้น
ผลที่ตามมาคือมี Noise เกิดมากขึ้น
-
CMOS (Complementary-symmetry
Metal–Oxide–Semiconductor) ความไวในการรับแสงน้อยกว่า แต่กินไฟน้อยกว่า
และเกิด Noise ได้น้อยกว่า
ขนาดของตัวรับภาพ (Sensor size)
ขนาดตัวรับภาพในกล้องวงจรปิดจากใหญ่ไปเล็ก 1/2.5” >
1/3” > 1/3.2”
> 1/4”
(ตัวรับภาพของกล้องดิจิตอลแบบ Compact จะอยู่ที่ประมาณ 2/3”, 1/1.7”, 1/2.5” เป็นต้น)
ขนาดตัวรับภาพที่ใหญ่ขึ้น จะให้มิติของภาพ (Depth of Field) ดีขึ้น และความหนาแน่นของความละเอียดต่อพื้นที่ (Density ratio) มีน้อยลง
ทำให้คุณภาพของภาพดีขึ้น
ความละเอียด (pixels)
สามารถนำความละเอียดใน Datasheet มาคูณกันเพื่อหาความละเอียดรวมได้ทันที
เช่น 1920 x 1080 = 2073600 ≈ 2 Mega pixels
ความละเอียดยิ่งสูง ภาพที่ได้จะชัดเจนมากขึ้น
ลักษณะของช่องต่อเลนส์ (Lens mount)
มาตรฐานช่องต่อเลนส์ของกล้องวงจรปิดคือ Board mount (ถอดเปลี่ยนไม่ได้),
C mount และ CS mount
ซึ่งจะไม่มีหน้าสัมผัสอิเล็กทรอนิกส์เหมือนช่องต่อเลนส์ของกล้องถ่ายรูปทั่วๆ
ไป ทำให้การใช้งาน Auto iris ในเลนส์กล้องวงจรปิดแบบถอดเปลี่ยนได้ต้องมีสายต่อแยกต่างหาก
ความกว้าง / แคบของการรับภาพ (Focal length - f)
ค่าที่แสดงเป็น mm คือระยะห่างระหว่างชิ้นเลนส์กับตัวรับภาพ
กล่าวคือ เมื่อชิ้นเลนส์อยู่ใกล้ตัวรับภาพ มุมที่ได้จะกว้าง (Wide) หากชิ้นเลนส์ขยับห่างจากตัวรับภาพ
มุมที่ได้จะแคบ (Tele) นั่นคือการขยายภาพ (Zoom) เช่น f3.5 – 122.5 มุมที่ได้คือ 45.35° –
1.6°
*** แล้วทำไมเลนส์ของกล้องถ่ายรูปจึงมีระยะมากกว่าเลนส์กล้องวงจรปิด
(และเลนส์กล้อง Compact) ?
เนื่องจากขนาดของตัวรับภาพ (Sensor size) มีขนาดต่างกัน
กล้องถ่ายรูประดับ Pro จะมีขนาดของตัวรับภาพค่อนข้างใหญ่
จึงไม่จำเป็นต้องขยับชิ้นเลนส์ให้อยู่ใกล้ตัวรับภาพ ส่วนกล้องวงจรปิด (และกล้อง Compact) ตัวรับภาพมีขนาดเล็กมาก
ระยะระหว่างท้ายเลนส์กับตัวรับภาพจึงน้อยมาก เพื่อทำให้ภาพที่ได้มีสัดส่วนใกล้เคียงกันทั้งกล้องขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
การขยายการรับภาพมี 2 แบบ คือ
-
Optical zoom ซึ่งใช้กลไกขยับชิ้นเลนส์เข้าออก ภาพที่ได้จะเป็นภาพที่แท้จริง
-
Digital zoom ใช้การ Crop ภาพที่ได้จาก Optical
zoom ขยายขึ้นมาอีก ทำให้ภาพมีรายละเอียดที่ไม่ดี
ความกว้างของรูรับแสง (F stop number / Aperture - F)
ความสัมพันธ์และค่าแปรผันเป็นไปตามตารางดังต่อไปนี้
ขนาดรูรับแสง
|
ปริมาณแสงผ่าน
|
ความชัด
– เบลอ
|
ภาพกลางคืน
|
กว้าง
(F1.2 – 5)
|
มาก /
ภาพสว่าง
|
ชัดที่จุดโฟกัส
ฉากเบลอ
|
ดวงไฟกลม
|
แคบ
(F8-32)
|
พอดี
– น้อยมาก
|
ชัดทั้งภาพ
|
ดวงไฟเป็นแฉก
|
ซึ่งในกล้องวงจรปิดจะใช้คำว่า Iris นั่นหมายถึง Auto
iris (DC iris) คือการปรับขนาดรูรับแสงเองอัตโนมัติ และเทคโนโลยีใหม่คือ
P-iris เป็นการปรับรูรับแสงให้ “Smooth” ยิ่งขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างการขยายภาพและรูรับแสง เช่น 10-40 mm F2-5 หมายถึง
เมื่อรับภาพที่ 10 mm รูรับแสงจะกว้างสุดที่ F2 แต่เมื่อขยายภาพไปที่ 40 mm รูรับแสงจะกว้างสุดที่
F5 เท่านั้น แต่ทั้งกว้างและแคบอาจจะปรับรูรับแสงได้แคบสุดที่ F32
โดยการปรับด้วยตนเอง
แต่เลนส์บางประเภทก็มีรูรับแสง “คงที่ตลอดช่วง” เช่น 16-35 mm
F4 กล่าวคือ
แม้จะใช้ 16 mm หรือ 35 mm รูรับแสงกว้างสุดจะยังคงอยู่ที่ F4 เสมอ
(และยังคงสามารถปรับให้รูรับแสงแคบลงได้เอง)
2.8 5.6 8 11
ความไวชัตเตอร์ (Shutter speed)
ความสัมพันธ์และค่าแปรผันเป็นไปตามตารางดังต่อไปนี้
ความไวชัตเตอร์
|
ปริมาณแสงผ่าน
|
ความชัด
– เบลอ
|
ภาพกลางคืน
|
ช้า
(30 – 1/10 วินาที)
|
มาก
|
วัตถุเคลื่อนไหวเบลอ
|
ภาพสว่าง
จับภาพวัตถุเคลื่อนไหวไม่ได้
|
เร็ว
(1/100 – 1/8000 วินาที)
|
พอดี
– น้อยมาก
|
จับภาพวัตถุเคลื่อนไหวได้
|
ภาพมืด
เนื่องจากแสงเข้าไม่ทัน
|
ความสัมพันธ์ระหว่างรูรับแสงกับความไวชัตเตอร์ จะเป็นไปตามตารางดังต่อไปนี้
ขนาดรูรับแสง
|
ความไวชัตเตอร์
|
สภาพแสง
|
ภาพที่ได้
|
กว้าง
|
ช้า
|
มาก
|
สว่างมากจนเสียรายละเอียดของภาพ
|
น้อย
|
สว่าง
– พอดี
|
||
เร็ว
|
มาก
|
สว่าง
|
|
น้อย
|
พอดี
– ค่อนข้างมืด
|
||
แคบ
|
ช้า
|
มาก
|
สว่าง
– พอดี
|
น้อย
|
พอดี
|
||
เร็ว
|
มาก
|
พอดี
– ค่อนข้างมืด
|
|
น้อย
|
ภาพค่อนข้างมืดมาก
|
การสั่นไหวของกล้องมีผลกับภาพ โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ยิ่งมีผลมาก
ความสว่างของแสง (Illumination / Lux)
ความสว่าง
(Lux)
|
ประเภทของแสง
|
30,000 – 120,000
|
ดวงอาทิตย์
|
1
|
จันทร์เต็มดวงเหนือหัว
|
0.01
|
จันทร์ครึ่งดวง
|
Infrared filter
เนื่องจากตัวรับภาพจะมีความไวและสามารถแยกแยะแสงได้มากกว่าประสาทตาของเรา
ทำให้กล้องทั่วไปจะมีการกรองแสง Infrared ออกไปในเวลากลางวัน
แต่จะใช้งานได้ไม่ดีในเวลากลางคืน
กล้องวงจรปิดจึงมีการพัฒนาให้สามารถกรองแสง Infrared ในเวลากลางวัน
และปิดการทำงานของตัวกรองเพื่อรับแสง Infrared ในเวลากลางคืนได้
จึงเป็นที่มาของ Day/Night camera
ระบบกันสั่น (Image stabilization)
ลักษณะการทำงานของระบบกันสั่นคือ
ชิ้นเลนส์หรือตัวรับภาพสามารถเคลื่อนไหวไปในทิศตรงกันข้ามกับการสั่นไหว
ทำให้ภาพค่อนข้างนิ่ง ซึ่งกล้องวงจรปิดบางรุ่นสามารถตั้งระบบกันสั่นได้
(แต่ถ้าติดตั้งในจุดที่มั่นคงถาวรแล้ว ระบบนี้ก็ไม่จำเป็น)
ระบบตรวจจับการเคลื่อนไหว (Motion detection)
สามารถกำหนดพื้นที่ที่ต้องการตรวจจับการเคลื่อนไหวได้
โดยการกำหนดพื้นที่บนตัวรับภาพ เมื่อวัตถุเคลื่อนไหวเข้ามาในขอบเขตที่เรากำหนดไว้
ระบบจะตรวจจับและบันทึกภาพไว้ทันที
ซึ่งเหมาะกับการใช้ในจุดที่มีระดับการรักษาความปลอดภัยสูง คนเข้าออกไม่บ่อย
และไม่ต้องการบันทึกภาพตลอดเวลา เป็นต้น
หลากหลายเหตุผลที่ควรเลือกใช้ระบบ IP Camera
Analog CCTV
|
IP Camera
|
ใช้ระยะเวลาติดตั้งนาน
ลากสาย 1 เส้นต่อ 1 กล้องไปที่ห้องควบคุม
ปรับแต่งภาพที่หน้างานลำบาก
หรืออาจจะต้องมีคนปรับที่กล้องและคนดูที่ห้องควบคุม (เสียเวลาในการสื่อสาร
และเสียค่าโทรศัพท์ด้วย (ในกรณีที่ไม่มีวิทยุสื่อสาร) )
|
ใช้ระยะเวลาติดตั้งเร็ว
ลากสาย UTP 1 เส้นต่อ 1 กล้องไปที่ Switching hub
สามารถใช้ฟังก์ชั่นในกล้องปรับแต่งด้วยตัวเอง
หรือถ้าหากเป็นยี่ห้อ ACTi เพียงใช้ PMON-1001 ต่อเข้ากล้อง แล้วใช้ iPhone หรือ iPod touch ที่ลง CameraGo! (Free app) เชื่อมต่อผ่าน Wireless เพื่อปรับแต่งที่กล้องได้ทันที
|
เสียพื้นที่ให้กับสายนำสัญญาณ
เนื่องจาก 1 กล้องต้องใช้สาย
1 เส้น
ทำให้เมื่อมีกล้องจำนวนมาก สายนำสัญญาณก็จะมีมากตามไปด้วย
|
จากสาย
UTP 1 เส้นต่อ
1 กล้องลากไปที่
Switching hub และ
UTP หรือ
Fiber จาก
Switching hub ลากไปที่ห้องควบคุม
เพียง 1 เส้น
|
ไม่สามารถเดินสายในระยะไกลๆ
ได้
|
หากระยะที่ติดตั้งกล้องอยู่ไกลเกินกว่าสาย
UTP ไปถึง
(> 100 เมตร)
ก็สามารถใช้
Wireless AP เชื่อมต่อสัญญาณเป็น
Bridge จาก
Switching hub ต้นทาง
ไปหากล้องที่ปลายทางได้
|
ต้องกระจายจุดต่อไฟฟ้าตามกล้อง
ทำให้ควบคุมระบบไฟฟ้าลำบาก เมื่อไฟฟ้าดับ กล้องก็จะดับไปด้วย
|
กล้องรองรับการจ่ายไฟฟ้าผ่านสาย
UTP ได้โดยตรง
ซึ่งทำให้สามารถควบคุมระบบไฟฟ้าได้ ถ้าใช้ UPS ที่ Switching hub หรือที่ห้องควบคุม เมื่อไฟฟ้าดับ
กล้องจะไม่ดับไปด้วย
|
หากต้องการเพิ่มกล้อง
โดยที่ตัว DVR เต็มหมดทุกช่อง
ต้องซื้อ DVR ใหม่
โดยอาจจะต้องเสียช่องต่อที่ไม่ได้ใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์
(ใช้
32 CH จนเต็ม
เมื่อต้องการเพิ่มอีก 8 กล้อง ต้องชื้อ 32 CH มาอีกตัว ทำให้เสีย 24 CH ไป)
|
หากต้องการเพิ่มกล้อง
แค่ดูว่า Switching hub ที่ใกล้เคียงจุดติดเพิ่มนั้นเต็มหรือไม่
หากไม่เต็ม ทำแค่เพียงลากสาย UTP ไปต่อเพิ่ม (หาก license เต็ม ก็ทำแค่เพียงซื้อ License กล้องเพิ่ม)
|
สายนำสัญญาณไม่สามารถใช้งานร่วมกับระบบอื่นได้
|
ระบบ
IP Network ที่ใช้ต่อกล้อง
สามารถใช้งานร่วมกับ Data หรือ Internet ได้ทันที
หรือหากมีระบบ
IP Network เดิมที่ใช้งาน
Data หรือ
Internet อยู่แล้ว
ก็สามารถนำระบบกล้องไปเชื่อมต่อได้เช่นกัน
|
ความละเอียดของภาพต่ำ
|
ความละเอียดของภาพสูงมาก
และยังสามารถพัฒนาขึ้นไปได้อีก
|
ในรุ่นราคาถูก
ไม่สามารถเชื่อมต่อกับระบบรักษาความปลอดภัยอื่นๆ ได้ เช่น ไซเรน ไฟเตือน
ปุ่มกดแจ้งเหตุฉุกเฉิน เป็นต้น
|
นอกจากการเชื่อมต่อกับระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆ
ได้แล้ว ยังสามารถเปิดฟังเสียงจากกล้องและส่งสัญญาณเสียงไปที่กล้องได้
|
ความปลอดภัยต่ำ
เพราะทุกคนสามารถเข้าดูข้อมูลภาพที่บันทึกไว้ได้ทันที
|
ความปลอดภัยสูง
เพราะต้องระบุสิทธิในการเข้าถึงโปรแกรม จึงจะเข้าดูข้อมูลภาพได้
|
หากสายนำสัญญาณขาดหรือมีปัญหาในการส่งภาพ
กล้องจะใช้งานไม่ได้ทันที
|
สามารถตั้งค่าให้บันทึกใน
Micro SD card ที่เสียบไว้ในตัวกล้อง
เมื่อไม่สามารถส่งข้อมูลภาพมาที่ห้องควบคุมได้
|
No comments:
Post a Comment